ผลิตภัณฑ์

The Miracle Of Resveratrol From Red Grape
(มหัศจรรย์เรสเวอราทรอลจากองุ่นแดง)

        ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่หันมาสนใจใส่ใจดูแลเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะในเรื่องความชราและความสวยความงามถือว่ากำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก หรือคนชราล้วนแล้วแต่ค้นหาสิ่งที่ดีเข้ามาเพื่อดูแลตัวเองกันทั้งสิ้น  คำถามก็คือ แล้วสารอาหารชนิดใดที่จะช่วยชะลอความชราอีกทั้งยังจะต้องสามารถเป็นยาอายุวัฒนะให้มวลมนุษยชาติได้อีกด้วย

สารต้านความชราจากไวน์แดง Anti Aging From The Wine

       เมื่อเร็วๆนี้ที่ประเทศอังกฤษได้มีการคิดค้นตัวยาที่เชื่อว่าจะเป็นยาอายุวัฒนะ ต่อต้านความแก่ชราได้ ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสารที่สกัดได้จากไวน์แดง เชื่อว่าจะทำให้มนุษย์อายุยืนยาวได้ถึง 150 ปี  ในรายงานบอกว่าสารดังกล่าวคือ “สารเรสเวอราทรอลResveratrol ซึ่งพบอยู่ในไวน์แดงและยังมีคุณสมบัติต่อต้านมะเร็ง และโรคเบาหวานประเภท 2 ได้อีกด้วย  สารนี้จะช่วยกระตุ้นโปรตีนในร่างกายที่ชื่อ SIRT1 ตลอดจนเอนไซน์ต่างๆในร่างกายให้ทำงานดีขึ้น ซึ่งโปรตีนดังกล่าว  มีคุณสมบัติต่อต้านความชราได้ และได้มีการทดสอบสารสกัดตัวนี้กับผู้ป่วยต่างๆ  ทั้งที่เป็นมะเร็ง เบาหวานและโรคหัวใจ พบว่าผลออกมาในทางบวก


ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

          นายเดวิด ซินแคลร์ ศาสตราจารย์ด้านพันธุกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยว่า สารเรสเวอราทรอลที่สกัดจากองุ่นจะเข้าไปทำงานกับโปรตีน SIRT1 ซึ่งเป็นเอนไซม์ชะลอวัยที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์ เอมไซม์ตัวนี้จะเข้ามาขัดขวางขัดขวางโรคภัยที่มาพร้อมวัยของมนุษย์ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความจำเสื่อมโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ พร้อมทั้งช่วยให้ชะลอวัยและทำให้อายุยืนยาวขึ้น จากการทดสอบกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวานและโรคหัวใจ พบว่า สารเรสเวอราทรอล สามารถป้องกันและรักษาได้จริง และไม่เพียงเท่านั้น ศาสตราจารย์เดวิด ยังเผยว่าสารเรสเวอราทรอลนี้จะต่างไปจากยาตัวอื่นๆ ทั่วไปที่สามารถรักษาโรคได้เพียงโรคเดียว โดยสารเรสเวอราทรอลที่สังเคราะห์ขึ้นนี้จะสามารถป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกหลายโรคด้วย


ปรากฎการณ์เดอะเฟรนช์พาราด็อกซ์ (TheFrenchParadox)




          เฟรนช์พาราด็อกซ์  หรือปฏิทรรศน์ฝรั่งเศส  เป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันดีในวงการอาหารและการแพทย์  ซึ่งนำไปสู่คำถาม  “ทำไมชาวฝรั่งเศสถึงมีอายุยืนยาวเมื่อเทียบกับชาวอเมริกัน อัตราการเสียชีวิตจากโรคเซลล์เสื่อมถอยน้อยกว่าถึง 3 เท่า ทั้งที่มีความเสี่ยงในโรคหัวใจจากอาหารที่รับประทานของชาวฝรั่งเศสที่มีเนย นม เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง คำตอบก็คือ ชาวฝรั่งเศสนิยมดื่มไวน์เป็นประจำสม่ำเสมอ”  ในสองทศวรรษที่ผ่านมานักวิจัยได้ค้นพบสาร  resveratrol ที่เปลือกและเมล็ดองุ่น ซึ่ง ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ โดย  resveratrol  ซึ่งเป็นสาร  polyphenol(โพลีฟีนอล) ที่ให้ผลในการเพิ่มความไวของอินซูลิน ลดความดันโลหิตและโรคหลอดเลือดหัวใจ  แต่งานวิจัยที่ผ่านมาศึกษากันในระยะเวลาสั้นๆ  ดังนั้นนักวิจัยในประเทศสเปนจึงได้ทำการวิจัยในคนเป็นเวลานานที่สุดที่มีมาเพื่อดูผลของ resveratrol

          การวิจัยศึกษาแบบ Triple – blinded control  ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ 75 คน  โดยการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม  กลุ่มแรกให้รับประทาน rerveratrol 8 mg  กลุ่มที่สองให้ทานยาหลอก (maltodextrin)  กลุ่มที่สามให้ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากองุ่นแต่ไม่มีส่วนผสมของ rerveratrol เป็นเวลา 6 เดือน และเพิ่มปริมาณเป็น 2 เท่าในอีก 6 เดือนต่อมา ผลการวิจัยพบว่า เฉพาะกลุ่มที่รับประทาน  resveratrol  ผลคือจะช่วยลดระดับ c-reactive protein (CRP) Tumor necrosis factor ∝, PAI1 (Plasminogen activator inhibitor type 1) และเพิ่ม interleukin-10 ซึ่งต้านการอักเสบ จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจในผู้ป่วยที่รับประทานได้  จากการศึกษายังพบอีกว่า resrveratrol  ทำงานให้ผลคล้ายคลึงกับ Statin ซึ่งเป็นยาลดคลอเรสเตอรอล และการรับประทาน resrveratrol ควบคู่กับ Pravastatin ให้ผลดีกว่าทาน Statin เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ resveratrol อาจถูกนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีคลอเรสเทอรอลสูงอีกด้วย

มหัศจรรย์เปลือกและเมล็ดองุ่น เรสเวอราทรอล   สารอาหารเพื่อการย้อนวัย




        มหัศจรรย์เปลือกองุ่น (Resveratrol) เรสเวอราทรอล  มหัศจรรย์เปลือกองุ่นเรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารกลุ่มโพลีฟีนนอลที่พบในไวน์แดง เปลือกองุ่น เปลือกถั่วลิสง และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่บางชนิด  หน้าที่ของเรสเวอราทรอลในพืช คือ เป็นสารซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันภัยของพืช จากอันตรายจากการบาดเจ็บการติดเชื้อและโรคของพืช

       ในปี 2003 นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองพบว่าเรสเวอราทรอลสามารถยืดอายุขัยของยีสต์ซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวได้ถึง 70% ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับการยืดอายุขัยของชีวิตมนุษย์ ต่อมาจึงได้มีการทดลองในสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น หนอน ปลามีกระดูกสันหลัง พบว่า ได้ผลเช่นเดียวกัน

       ในปี 2007 มีการทดลองให้หนูรับประทานอาหารแคลอรี่สูงกว่าปกติถึง 30% และแบ่งหนูทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารแคลอรี่สูงอย่างเดียว ส่วนหนูอีกกลุ่มหนึ่งรับประทานอาหารแคลอรี่สูงและได้รับเรสเวอราทรอลวันละ 22 มก. ร่วมด้วย ผลปรากฏว่าหนูกลุ่มที่รับประทานเรสเวอราทรอลร่วมด้วย มีอัตราการตายจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดน้อยกว่าหนูกลุ่มที่ได้รับอาหารแคลอรี่สูงถึง 30%

       นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่าเมื่อบริโภคเรสเวอราทรอลเข้าไปในร่างกายจะไปกระตุ้นยีนเซอร์ทูอินวัน (Sirtuin-1) ซึ่งปกติจะถูกกระตุ้นเมื่อร่างกายสิ่งมีชีวิตถูกจำกัดแคลอรี่ (Caloric Restriction) การกระตุ้น Sirtuin-1 มีผลให้เกิดการกระตุ้นการเผาผลาญเป็นโอกาส และความหวังของคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

       นอกจากผลในการกระตุ้นการเผาผลาญแล้ว  ผลวิจัยที่โดดเด่นของเรสเวอทรอล คือ การรับประทานเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง และมีผลวิจัยยืนยันในสัตว์ทดลองมากมาย  กลไกของเรสเวอราทรอลในการฆ่าเซลล์มะเร็ง  คือ การกระตุ้นการฆ่าตัวตายของเซลล์มะเร็ง  ต่อมาวิจัยในมนุษย์ในการใช้เรสเวอราทรอล เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่  และมะเร็งผิวหนัง

มีงานวิจัยถึงผลของเรสเวอราทรอลในยีสต์ และในสัตว์ทดลองมากมายกว่า 4,000 ฉบับ

จนถึงปี 2010 โดยมีผลวิจัยที่โดดเด่นดังนี้

1. การยืดอายุขัยของเซลล์ยีสต์ได้ถึง 70% ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับการจำกัดปริมาณอาหารเพื่อยืดอายุขัยของเซลล์มนุษย์
2. งานวิจัยในหนูทดลองในปี 2006 ที่ประเทศฝรั่งเศส ถึงฤทธิ์ในการป้องกันโรคเบาหวาน และโรคอ้วนในหนู รวมทั้งผลการกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย
3. กระตุ้นการผลิตสเต็มเซลล์จากไขกระดูก ส่งผลให้มีการซ่อมแซมทั่วร่างกาย
4. ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง สร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด
5. ปรับสมดุลคอเลสเตอรอลในเลือด
6. การป้องกันโรคพาร์กินสัน และโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์
7. ป้องกันการเกิดมะเร็ง และร่วมบำบัดโรคมะเร็งที่เป็นแล้วขนาดรับประทานในมนุษย์ มีคำแนะนำที่หลากหลาย ตั้งแต่ 20 มก.-100 มก. ต่อวัน


 WHY RESVERATROL !!!
33 Miracle of Resveratrol

 ประโยชน์ต่อชลอความแก่
1.  ช่วยป้องกันร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
2.  ช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์
3.  ช่วยยืดอายุขัย
4.  ช่วยยับยั้งโรคจิตเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์
5.  ช่วยยับยั้งภาวะความจำเสื่อม
6.  ช่วยป้องกันโรคพาร์คินสัน
7.  เสริมสร้างระบบสมองและความจำ
8.  เพิ่มพละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกาย

 ประโยชน์ต่อหลอดเลือดหัวใจ
9.    ลดระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล
10.  ลดระดับความดันโลหิตสูง
11.  ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง
12.  เสริมสร้างการทำงานของระบบหลอดเลือดหัวใจ
13.  ลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์
14.  เพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมสร้างความแข็งแรงของหลอดเลือด
15.  ช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และการรวมตัวของลิ่มเลือด

ประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน
16.  ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
17.  ทำลายเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
18.  บรรเทาอาการภูมิแพ้
19.  ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสหวัด

 ประโยชน์ต่อดีเอ็นเอ / มะเร็ง
20.  ต่อต้านการทำลายดีเอ็นเอ
21.  ช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง
22. ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก

  ประโยชน์ด้านอื่นๆ
23.  รักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
24.  ปกป้องรังสีจากแสงแดด
25.  เพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
26.  ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก
27.  ลดความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการมองเห็น
28.  ลดการอักเสบและบวม
29.  ช่วยในการทำงานของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
30.  ต่อต้านเชื้อ HIV
31.  ฟื้นฟูสภาพผิว
32.  ช่วยลดริ้วรอย
33.  ป้องกันร่างกายจากการบาดเจ็บ


HGH คืออะไร




       HGH หรือ Human Growth Hormone โดยทั่วไปเรียกย่อว่า GH ก็ได้ GH เป็นฮอร์โมนหลัก (Master Hormone) ที่ถูกปล่อยออกมาจากต่อมไร้ท่อที่อยู่ใต้สมองส่วนหน้า หรือที่เรียกว่า Pituitary Gland ฮอร์โมนนี้มีบทบาทที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต และควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายคนเรา GH จุะถูกปล่อยออกมาในเวลาที่หลับสนิท (Deep Sleep) เมื่อคนเราหลับดี ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ และทำให้มีสุขภาพดี ซึ่ง GH ที่หลั่งออกมาในการนอนหลับ หลัง 90 นาทีแรก จะมีคุณภาพดีและเข้มข้นที่สุดจะเห็นได้ว่าในวัยเด็ก จะมีการนอนหลับมาก และจะลดน้อยถอยลง จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น 0-14 ปี วัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ 15-25 ปี วัยกลางคน 26-45 ปี และวัยชราจะเริ่มตั้งแต่ 46-50 ปี เป็นต้นไป โดยหลังจากอายุ 25 ปีแล้ว GH จะลดลงในอัตรา 1.4% ต่อปี และเมื่ออายุ 55-60 ปีนั้น จะเหลือ GH เพียง 25%ของเมื่ออายุ 20 ปี ซึ่งจะมีชั่วโมงการนอนหลับน้อยกว่าวัยเด็กมาก

HGH เกี่ยวข้องกับความชราอย่างไร

HGH จะหลั่งในช่วงแรกของการหลับในปริมาณสูง โดยในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น HGH จะมีอยู่มากโดยธรรมชาติหลังจากอายุ 20 ปี HGH จะลดปริมาณลง14% ในทุก ๆ สิบปี
อายุ 40 ปี เกือบทุกคนจะอยู่ในภาวะขาด HGH
อายุ 55 ปี ฮอร์โมนจะเหลือเพียง 20%
อายุ 80 ปี ฮอร์โมนเหลือ 0%

    ภาวะการขาด HGH

     กล้ามเนื้อลีบลง ความต้องการทางเพศลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ผิวหนังเหี่ยวย่น  กระดูกพรุน ผมหงอก อ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง สมองเสื่อม  ความจำถดถอย ภาวะซึมเศร้า

    การรักษาระดับ HGH ในร่างกายทำได้อย่างไร

ฉีด หรือ กิน HGH สังเคราะห์โดยแพทย์เท่านั้น
กินสารอาหารประเภทกรดอะมิโนที่จะไปกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่ง
ใช้ในรูปของสเปรย์ให้สารอาหารที่มีกรดอะมิโนที่จะไปกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่ง HGH
 
    ผลของการให้ HGH

    ย้อนกลับสู่วัยหนุ่มสาว ไขมันในร่างกายลดลง 5%-10% โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ 10% เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือด


กรดอะมิโน แอล-อาร์จินีน  แอล-กลูตามีน แอล-ไลซีน มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?

แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) คืออะไร?

           แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) คือ กรดอะมิโน ที่ถือว่าเป็น "โมเลกุลมหัศจรรย์" มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาลเพราะ L-Arginine จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิต ไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) เพื่อช่วยในเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือด รวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความชรา

ไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) คืออะไร?

           ไนตริกออกไซด์  ขึ้นชื่อว่าเป็น "วีรบุรุษของร่างกาย" (The New Hero of Human Biology)  โดยนักวิทยาศาสตร์ 3 ท่าน คือ Louis J.lgnarro, Robert Furchgot and Ferid Murad   ได้ค้นพบคุณสมบัติของ   ไนตริกออกไซด์ จนได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี 1998 จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ไนตริกออกไซด์สามารถช่วยในการบำบัดหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือด  ลดสภาวะความตึงเครียดของหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ ดูแลและซ่อมแซมการไหลเวียนของเลือด ช่วยทำให้การสูบฉีดโลหิตทั่วร่างกายได้เป็นปกติ

           คุณประโยชน์

           1. กระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ช่วยในการชะลอความชรา

           2. ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนเยาว์

           3. ช่วยลดไขมันในกล้ามเนื้อ เสริมสร้างร่างกายให้กระชับทั้งภายในและภายนอก

           4. เพิ่มสมรรถภาพทางเพศในทั้งชายและหญิง

           5. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

           6. ช่วยควบคุมครอเรสเตอรอลและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ

           7. ชดเชยความเสียหายของหัวใจ และช่วยขจัดไขมันภายในหลอดเลือด

           8. ป้องกันและลดโรคกระดูกพรุน โดยการทำให้เกิดมวลกระดูก

           9. ส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ สำหรับนักกีฬา

         10. ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย

         11. ช่วยในการรักษาแผลและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด

L-Lysine (ไลซีน)

          เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญที่จำเป็นสำหรับร่างกายมนุษย์ในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโต ร่างกายเราไม่สามารถผลิต L-Lysine (ไลซีน)ได้ ต้องได้รับจากแหล่งอาหารหรืออาหารเสริมเท่านั้น L-Lysine(ไลซีน) มีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการผลิตแอนติบอดี, ฮอร์โมนและคอลลาเจน  นอกจากนี้ข้อมูลจากนักวิจัยของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์คิดว่า L-Lysine (ไลซีน) จะเป็นประโยชน์สำหรับโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้เรามักจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร L-Lysine (ไลซีน) สำหรับปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย

            หน้าที่ของ L-Lysine (ไลซีน)

           - L-Lysine (ไลซีน) เป็นหนึ่งในแปดกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของโมเลกุลของโปรตีนในร่างกายมนุษย์ ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนเหล่านี้ดังนั้นร่างกายของเราจะต้องได้รับพวกเขาในแต่ละวันจากอาหารหรืออาหารเสริม

           - L-Lysine (ไลซีน) มีหลายหน้าที่ในร่างกายมนุษย์จะช่วยในการดูดซึมของแคลเ​​ซียมและการก่อตัวของคอลลาเจนที่ช่วยให้การพัฒนาที่เหมาะสมของกระดูกในเด็ก, ปรับสมดุลของระดับไนโตรเจนและช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง

            ประโยชน์ที่ได้รับ L-Lysine (ไลซีน)

            ประโยชน์ของ L-Lysine (ไลซีน) มีมากหลากหลาย ตั้งแต่ใช้ในการรักษาเด็กส่าไข้ เริมที่อวัยวะเพศ และโรคงูสวัด  L-Lysine (ไลซีน) สามารถลดจำนวนการเป็นซ้ำของโรคที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับไวรัสเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการรักษาอาการที่มาจากหัวใจขาดเลือด, การเสื่อมของผิวและการบาดเจ็บ

           แหล่งที่มาของ L-Lysine (ไลซีน)

            แหล่งอาหารที่สูงที่สุดใน L - Lysine (ไลซีน) พบมากในเนื้อแดง, ถั่ว, ปลาซาร์ดีน, ไข่, เนย, ถั่วและนม คนส่วนใหญ่ได้รับกรดอะมิโนปริมาณที่เพียงพอของนี้โดยการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง แต่บุคคลบางอย่างเช่นมังสวิรัติ  นักเพาะกายหรือนักกีฬาอาจมีความเสี่ยงการขาด L-Lysine (ไลซีน) และอาจต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ขายในร้านยา/อาหารเสริม ผลิตภันฑ์เสริมอาหาร L-Lysine (ไลซีน) มีทั้งเป็นยาเม็ด/ยาแคปซูลและของเหลว

            ผลของการขาด L-Lysine (ไลซีน)

            เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีปริมาณของโปรตีนไม่เพียง เราสามารถที่จะรับรู้ถึงสัญญาณบางอย่างของการขาด L-Lysine (ไลซีน) อาการของการขาด L-Lysine (ไลซีน) เช่นการเป็นโรคโลหิตจาง, คลื่นไส้, ความเมื่อยล้า, แคระแกร็นและเบื่ออาหาร ในกรณีนี้การเสริม L -Lysine (ไลซีน) อาจมีความจำเป็น นอกจากนี้การขาด L-Lysine (ไลซีน) ยังสามารถทำให้เกิดนิ่วในไต  นอกจากนี้สำหรับคนที่กิน L-arginine  ในปริมาณสูง อาจมีระดับL-Lysine (ไลซีน) ที่ต่ำกว่าของคนปกติทั่วๆไป

            ข้อห้ามและข้อควรระวัง

            • L-Lysine (ไลซีน) ยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับใช้ในการรักษาทางการแพทย์ใดๆ จาก FDA  ก่อนที่จะเสริม L - Lysine (ไลซีน) คุณควรปรึกษาแพทย์สำหรับการใช้งานที่เหมาะสมของมัน จำนวนปริมาณที่อาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ได้รับการรักษา

            • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรพูดคุยกับแพทย์ก่อน

           • คนที่ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น neomycin หรือ streptomycin ไม่ควรใช้

           • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือตับไม่ควรใช้

 แอล-กลูตามีน /L-Glutamine

 L-Glutamine คืออะไร??

            แอล-กลูตามีน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญภายในร่างกายพบว่ามากกว่า 60% ของแอล-กลูตามีน จะอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ ร่างกายของมนุษย์ประกอบไปด้วย กรดอะมิโนชนิดต่างๆ 20 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้ และชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ แอล-กลูตามีน คือ กรดอะมิโน 1 ใน 20 ชนิดที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้ กลูตามีนเป็นกรดอะมิโนในธรรมชาติที่มีประโยชน์กับร่างกาย แหล่งของอาหารที่มีแอล-กลูตามีน เช่น เนื้อวัว, เนื้อไก่, ปลา,ไข่, นม, ข้าวสาลี, ถั่ว, กระหล่ำปลี, ผักโขม แม้ว่าร่างกายจะสามารถสังเคราะห์แอล-กลูตามีนได้เอง แต่ในคนที่ออกกำลังกายหนักและบ่อย จะเกิดการสร้างกรดแลคติคมากขึ้น ร่างกายไม่สามารถผลิต แอล-กลูตามีน ในสัดส่วนที่เพียงพอได้ ทำให้มีการสลายของมวลกล้ามเนื้อได้  แอล-กลูตามีน เป็นสารอาหารที่ช่วยซ่อมแซมมัดกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ จากการออกกำลังกาย และช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ในระหว่างการออกกำลังกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น  แอล-กลูตามีน เป็นกรดอะมิโนที่มีมากที่สุดในร่างกาย จะเป็นตัวช่วยทำลายกรดแลคติค ( Lactic Acid) ที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น ระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนัก การทำลายกรดแลคติดจะช่วยลดอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น

             คุณสมบัติของ L-Glutamine

            1. มีส่วนช่วยในการออกกำลังกาย

                • ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสังเคราะห์โปรตีนและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

                • ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เกิดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

                • ใช้ในผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

                • ช่วยให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)

                • เพิ่มพลังงาน เพิ่มความแข็งแกร่ง ลดการอ่อนล้าขณะออกกำลังกาย

                • ออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน

           2. มีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพร่างกาย

                • ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ลดอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย

                • ลดภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ลดกล้ามเนื้อฝ่อเนื่องจากไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายในผู้ป่วย

                • ลดการติดเชื้อแบคทีเรียและช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน

                • จำเป็นกับสมอง ใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสมองให้ทำงานเป็นปกติดีขึ้น เพิ่มความจำ เพิ่มสมาธิ ลดความเครียด

                • ช่วยลดความอยากทานอาหารหวาน ในผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

                • ช่วยในการสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

                • เป็นส่วนประกอบของกลูต้าไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขจัดสารพิษในตับ และช่วยให้ผิวพรรณสดใส

                • ช่วยในการปรับสมดุลของระดับความเป็นกรด-ด่างในไต ช่วยให้ไตทำงานได้เป็นปกติ

                • เป็นส่วนสำคัญในการทำงานของระบบลำไส้ ช่วยให้เซลล์ผนังลำไส้ทำการดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงการเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร

            การทำงานของ  L-Glutamine

            แอล-กลูตามีน จะไปทำลายกรดแลคติค ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อในขณะที่ออกกำลังกาย ซึ่งกรดแลคติคทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนล้า จึงช่วยให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น และลดการเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อ นอกจากนั้น  แอล-กลูตามีน ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน หรือ ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งจะกระตุ้นให้ร่างกายมีการสังเคราะห์โปรตีน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยสมานแผลให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ช่วยขจัดสารพิษ ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง

              ประโยชน์ของแอล-กลูตามีน

              1. ช่วยลดอาการอ่อนล้า เนื่องจาก กลูตามีน จะช่วยทำลายกรดแลคติก ที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกายจึงช่วยลดอาการอ่อนล้ารวมถึงช่วยลดโอกาสในการเกิดตะคริวได้อีกด้วย

              2. ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต (Growth Hormone) โดยกลูตามีนจะช่วยเร่งการสร้างฮอร์โมนดังกล่าว จากต่อมใต้สมอง Pituitary Grand

              3. ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น เนื่องจากกลูตามีนจะช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวจึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีความแข็งแรงขึ้น เพราะเซลล์ ในระบบภูมิคุ้มกันส่วนใหญ่ใช้พลังงานจากกลูตามีน อีกทั้งในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายหนัก ร่างกายจะสูญเสียกลูตามีนในปริมาณมากจึงอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้กลูตามีนถือเป็นสารอาหารสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลย

            4. เป็นอาหารให้กับสมอง และลดสภาวะตึงเคียด โดยกลูตามีนจะเป็นสารตั้งต้นในการผลิสารสื่อประสาทจำพวก Glutamate และ GABA (Gamma-Aminobutyric Acid) เพื่อเป็นอาหารให้สมอง และช่วยกำจัดสารแอมโมเนีย ที่เกิดจาการทำงานหนักของสมอง จึงช่วยลดสภาวะตึงเครียดได้

             5. ช่วยลดอัตราการทำลายเซลล์กล้ามเนื้อ เนื่องจากในภาวะที่ร่างกายต้องใช้งานหนัก กลูตามีนจะถูกใช้งานหมดไป ในปริมาณสูงทำให้ร่างกายจำเป็นต้องดึงกลูตามีนจากเซลล์ต่างๆ มาใช้ ดังนั้นหากไม่ได้รับปริมาณกลูตามีนที่เพียงพอ เซลล์เหล่านั้นจะ ถูกทำลายเนื่องจาก ขาดกลูตามีน

              6. ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ (metabolic) ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เปอร์เซนต์ไขมันในร่างกาย มีปริมาณลดลง


BlackCurrant แบล็คเคอแรนท์

             คือผลไม้ท้องถิ่นของยุโรปกลาง และยุโรปเหนือ มีอยู่ทางภาคเหนือของทวีปเอเชียด้วย แบล็กเคอร์เรนท์เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็น “ราชาในกลุ่มลูกเบอรรี่ทั้งหลาย” เพราะแบล็กเคอร์เรนท์เป็นผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงและมากกว่าลูกเบอร์รี่ชนิดอื่นๆ  นักวิทยาศาสตร์ของสถานวิจัยพืชผลสก็อตแลนด์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติผลไม้ที่นิยมกว่า 20 ชนิด แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ มะม่วง กล้วยหอม ฯลฯ พบว่า ผลแบล็คเคอแรนท์ มีสารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด โดยมีผลเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ และทับทิม รองลงมาตามลำดับ แล้วผลการศึกษายังแสดงอีกว่า ลูกแบล็คเคอแรนท์ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีชื่อว่า แอนโธไซยานินมากเป็นพิเศษ ซึ่งสารนี้เป็นตัวทำให้ผลไม้มีสีดำ เชื่อว่ามีสรรพคุณช่วยปกป้องโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และโรคสมองเสื่อมได้

             มีสารอาหารอะไรบ้างในแบล็กเคอร์เรนท์ ??

               • มี วิตามิน C มากกว่าผลส้มถึง 4 เท่า ถ้าเทียบในปริมาณที่เท่ากัน วิตามิน C มีคุณสมบัติช่วยบำรุงรักษาสุขภาพ สร้างภูมคุ้มกันโรคหวัด ช่วยสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนัง กระดูก เนื้อเยื่อ และฟันแข็งแรง ทำให้ผิวพรรณสดใส เมื่อทานติดต่อเป็นเวลานานทำให้แลดูอ่อนกว่าวัยได้

               • มี แอนโธไซยานิน สูงกว่าลูกเบอร์รี่ชนิดอื่น ๆ แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) มีคุณสมบัติช่วยบำรุง สุขภาพดวงตาและชะลอความเสื่อมของเซลล์ดวงตา สมอง และจอประสาทตา ช่วยลดการเสี่ยงจากการเกิดโรคต้อ ช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าเนื่องจากใช้สายตานานๆได้ ทั้งยังช่วยให้สายตาทำงานได้ดีในที่มืด (Nakaishi & Colleagues from the University of Tsukuba, Tokyo, Japan)

                • มี โพลีฟีนอล Polyphenols, วิตามิน A, B1, B2 และ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (Antioxidants), Polyphenols เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแอนติออกซิเดนท์เข้มข้น ช่วยพัฒนากระบวนการป้องกันสารพิษในร่างกาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยาต่อต้านร่างกาย ช่วยต่อต้านและยับยั้งการเจริญเติบโตของโรคมะเร็ง  นิวซีแลนด์แบล็กเคอร์เรนท์มี polyphenols , carotenoids and anthocyanins     ในปริมาณที่สูงมากกว่าแบล็กเคอร์เรนท์ จากประเทศอื่นๆถึง 3เท่า  นิวซีแลนด์แบล็กเคอร์เรนท์มีค่าต่อต้านสารอนุมูลอิสระมากกว่า ผักและผลไม้ชนิดอื่น ๆ รวมถึง ผลไม้กีวี และ บรอคโคลี่ แบล็กเคอร์เรนท์และลูกเบอรรี่เจริญเติบโตได้ดีในฤดูร้อนที่ร้อนและฤดูหนาวที่หนาวเย็น เกาะใต้ประเทศนิวซีแลนด์มีสภาพอากาศดังกล่าวจึงเหมาะ ต่อการปลูกแบล็กเคอร์เรนท์และลูกเบอรรี่ Blackcurrants & Eye Health - บำรุง และ ป้องกัน สุขภาพดวงตา

                ประโยชน์จากการรับประทานแบล็กเคอร์เรนท์ที่มีแอนโธไซยานินสูงเป็นประจำ

 ช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องการมองเห็นเนื่องจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน
 ทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น เลือดไปเลี้ยงเส้นเลือดฝอยที่ดวงตาให้แข็งแรง
 ป้องกันเส้นเลือดเปราะ หรือขอด หรือตีบ
 ปกป้องไม่ให้ดวงตาเป็นต้อ วุ้นในตาและจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัย ลดแรงดันในลูกตาทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในที่มืด
 ลดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
            ลูกเบอรรี่เป็นส่วนหนึ่งในนิสัยการรับประทานอาหารของคนในสมัยก่อนในต่างประเทศ คนสมัยปัจจุบันสามารถพูดได้ว่าได้รับแอนโธยานินไม่เพียงพอเท่าคนในสมัยก่อน เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป  จากการศึกษาและวิจัยในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น พบว่า รับประทานลูกแบล็กเคอร์เรนท์ที่ให้แอนโธไซยานิน 50 มก.เป็นประจำช่วยบรรเทาปัญหาดวงตาเมื่อยล้าที่เกิดจากการใช้สายตานานๆและยังช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา รัฐบาลประเทศ นิวซีแลนด์ ใช้เงินทุน 6.4 ล้านเหรียญ  นิวซีแลนด์ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าวิจัย เรื่อง “สุขภาพดี ด้วยเบอร์รี่” ใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี



         What are anthocyanins? อะไรคือ แอนโธไซยานิน?

            สีม่วงแดงเข้มของแบล็กเคอร์เรนท์ คือเอนไซม์สำคัญ ชื่อแอนโธไซยานินที่ทำหน้าที่ผลิตสารมีสีในแบล็กเคอร์เรนท์ และยังปกป้องแบล็กเคอร์เรนท์จากสิ่งแวดล้อมและเชื้อโรคด้วย สารแอนโธไซยานินที่มีอยู่มากในแบล็กเคอร์เรนท์นี้ มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ เช่น ช่วยเพิ่มความสามารถ ในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้จะไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กๆ เช่น ไหลเวียนมาเลี้ยงหลอดเลือดส่วนปลายมากขึ้น ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น และสารแอนโธไซยานินที่ว่านี้ก็ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วยในขณะนี้ก็มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก เกี่ยวกับความสามารถของสารแอนโธไซยานิน ในการเพิ่มประสิทธิภาพของตา เช่น ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น  แบล็กเคอร์เรนท์มีส่วนช่วยส่งเสริมระบบหมุนเวียนของเลือด และเส้นโลหิตฝอย ให้ไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆในมอง เยื่อบุสมอง และ เซลล์ต่างๆในร่างกาย ทำให้สมองทำงานได้เต็มที่ รู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉงตลอดเวลา  จากการศึกษาและวิจัยจากส่วนต่างๆ ของ แบล็กเคอร์เรนท์สกัดเข้มข้นสามารถปกป้องเซลล์ของ มนุษย์ที่มีผลกระทบจากปฏิกิริยาของการรวมตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กับออกซิเจน และต่อต้านเซลล์ที่เป็นพิษ  แบล็กเคอร์เรนท์แอนโธไซยานินอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ รับประทานแบล็กเคอร์เรนท์ ที่มีแอนโธไซยานินสูงเป็นประจำมีส่วนช่วยให้มีสุขภาพดี ดูอ่อนวัย ช่วยในการปกป้องความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เหมาะสำหรับคนที่ใช้สายตานานๆ เป็นต้อที่กำลังรักษาและหลังรักษา ภูมิแพ้ ไมเกรน เครียด นอนไม่หลับ เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ ความจำเสื่อม โรคทางสมองและระบบประสาท พาร์กินสัน มะเร็ง ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยให้สุขภาพดี แล้วยังบำรุงผิวพรรณดีด้วย

           แบล็กเคอร์เร้นท์ช่วยบรรเทาและป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างไร

            บำรุงผิวพรรณและลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา

            แบล็กเคอร์เร้นท์มีวิตามิน C สูงกว่าส้มถึง 4 เท่า ถ้าเทียบในปริมาณที่เท่ากัน วิตามิน C มีคุณสมบัติช่วยบำรุงรักษาสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัด ช่วยสร้างคอลลาเจนให้ผิวหนัง กระดูก เนื้อเยื่อ และฟันให้แข็งแรง ทำให้ผิวพรรณสดใส เมื่อทานติดต่อเป็นเวลานานจะช่วยบำรุงผิวและลดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้อีกด้วย

           โรคทางสายตา

           การรับประทานลูกแบล็กเคอร์เร้นท์ที่ให้แอนโธไซยานิน 50 มิลลิกรัมขึ้นไปเป็นระยะเวลาติดต่อกัน สามารถช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้า เนื่องจากใช้สายตานานๆได้และยังช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด (Nakaishi & Colleagues from the University of Tsukuba, Tokyo, Japan) แอนโธไซยานินมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสุขภาพดวงตาและชะลอความเสื่อมของเซลล์ดวงตาและจอประสาทตา ช่วยลดการเสี่ยงจากการเกิดโรคต้อกระจก ช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นเลือดไปเลี้ยงเส้นเลือดฝอยที่ดวงดาให้แข็งแรง ไม่แตกง่าย ป้องกันไม่ให้ดวงตาและจอประสาทตาเสื่อม วิตามินเอในลูกแบล็กเคอร์เร้นท์สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินเอได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคทางสายตา เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม โรคน้ำตาแห้ง หรือเซลล์สายตาถูกทำลาย

             โรคเบาหวาน

            จากผลการศึกษาวิจัยจาก Dr.Muralee Nair นักเคมีจาก State University ในตะวันออกของ Lansing ในอเมริกาพบว่าเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ที่มีสารแอนโธไซยานินอยู่จะช่วยเพิ่มระดับอินซูลินได้ถึง 50% สารแอนโธไซยานินและกลูโคควินิน (Glucoquinine) ในผลไม้กลุ่มเชอรี่และเบอรี่สีม่วง เช่น แบล็กเคอร์เร้นท์ช่วยเพิ่มระดับอินซูลินในเซลล์ตับอ่อนและสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้ อินซูลินเป็นโปรตีนที่ผลิตจากตับอ่อนช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

              โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง

              โพแทสเซียมในแบล็กเคอร์เร้นท์ช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันโลหิตสูงซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ แอนโธไซยานิน วิตามิน และแร่ธาตุในแบล็กเคอร์เร้นท์ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อนและดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้หลอดเลือด และลดโอกาสการเกิดสภาวะหลอดเลือดแข็งตัว หรือหลอดเลือดเปราะ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหลายชนิด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงและอัมพาต

               โรคความจำเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคเครียด โรคไมเกรน โรคนอนไม่หลับ

               ไมเกรนมักเกิดจากการผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง แอนโธไซยานิน มีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดเล็กในสมองและเยื่อบุสมอง ทำให้สมองทำงานได้เต็มที่ไม่ขาดออกซิเจน เป็นผลให้เซลล์สมองได้รับการซ่อมแซม และยังช่วยบำรุงเซลล์ประสาทให้แข็งแรง ( Bormann J. et al. 1993) แอนโธไซยานินยังมีส่วนช่วยเพิ่มสารเคมีโดปามีนในสมองทำให้ความจำดีขึ้น ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการถูกทำลาย (Ghosh D & colleagues from The Horticulture & Food Research Institute of New Zealand) ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเป็นหรือกลัวว่าจะเป็นโรคความจำเสื่อม โรคพาร์กินสัน คนที่มีภาวะเรื่องของสภาพจิตใจหรือประสาทไม่ปกติ โรคไมเกรน โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ


แอปเปิ้ล!!! ผลไม้จากสวรรค์

         แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวลคุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี่ วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

          แอปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส การกินแอปเปิ้ลช่วยให้ปอดแข็งแรง ไม่ว่าจะกินแอปเปิ้ลเขียวหรือแดงก็ตาม เพราะในผลแอปเปิ้ลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “เคอร์ซีทิน” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย 

วิธีการกินแอปเปิ้ลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือต้องกินผลสดทั้งเปลือกซึ่งจะให้ได้รับสาร “เพกทิน” จากเปลือกแอปเปิ้ลเพิ่มขึ้นด้วยสารเพกทินมีคุณสมบัติลดคลอเลสเตอรอลในร่างกาย

          แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหาร นั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก


       ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
ช่วยลอความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
ช่วยบำรุงหัวใจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ลดคลอเรสเตอรอล
ควบคุมความดัน
ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด
ช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้ดีนุ่มชุ่มชื้น
ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่
ช่วยเพิ่มการดูดซึมของวิตามินซี
ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง
ลดอาการอักเสบลดไข้
ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน


      สัมผัสความอ่อนเยาว์จากสเต็มเซลล์แอปเปิ้ลเขียว

          สถาบันบาร์โคนี่ได้คิดค้นวิจัย ค้นหาสเต็มเซลล์ที่จะมาช่วยสร้างผิวใหม่ให้กับคนที่มีปัญหา โดยไม่ใช้สเต็มเซลล์จากคน หรือสัตว์ ซึ่งถือว่าสเต็มเซลล์ที่มีผลข้างเคียงหลังจากการใช้มากที่สุด ในที่สุดก็พบว่าสเต็มเซลล์ซึ่งสกัดได้จากผลแอปเปิ้ลสีเขียว จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น มีสารสกัดจากสเต็มเซลล์อยู่มาก และเป็นสเต็มเซลล์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของโครงสร้างในการช่วยแก้ไขปัหาผิวหน้าที่มีริ้วรอย เหี่ยวย่น มีหลุมสิว แผลเป็นจากสิว ผิวหน้าไม่กระจ่างใส

           คุณสมบัติที่ได้จากการสกัดสเต็มเซลล์นี้ มีคุณสมบัติเทียบเท่ากับสเต็มเซลล์ที่สกัดได้จากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่สเต็มเซลล์ของผลแอปเปิ้ลจะมีความปลอดภัยในการใช้มากกว่า เพราะไม่มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น

           สเต็มเซลล์ที่ทำมาจากแอปเปิ้ลนี้ จะรู้จักกันดีเฉพาะในสังคมชั้นสูงเท่านั้นสารสำคัญสำหรับการเจริญของเซลล์อยู่ในระดับที่มีประโยชน์มากกว่า 9,000 ชนิด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งจะช่วย

ฟื้นฟูคลอลาเจน และอีลาสติน ใต้ผิวหนัง
ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพที่ถูกทำลายจากแสงแดด และยังต่อต้านอนุมูลอิสระ
ยกกระชับกล้ามเนื้อ ลดปัญหาริ้วรอยลึก ร่องแก้ม ใบหน้าที่ไม่ได้รูป
รอยแผลเป็นที่เกิดจากการบีบสิว หน้าเป็นหลุม
หน้ามันมีสิว รูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ
หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ขาดความชุ่มชื่น

"RVT Mix Resveratrol
นวัตกรรมการผลิตสารอาหารในรูปแบบนาโนสเปรย์
มีประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและความงาม ไม่ลองไท่รู้ แค่ลองฉีดดูชีวิตคุณก็จะเปลี่ยน"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น